หลวงพ่อคูณ / วัดบ้านไร่
หลังจากอยู่บ้านมาเนิ่นนานนน ในที่สุดก็ได้ฤกษ์ดีงามออกจากบ้านได้สักที
ทริปนี้ครีมมาทำงานที่โคราช เป็นทริปที่มาทำงานเป็นหลัก ส่วนเที่ยวเป็นรอง เลยไม่ได้ตั้งใจจะไปไหนเป็นพิเศษ
แต่พอทำงานเสร็จก่อนเวลา แล้วเวลาเหลือ เลยออกไปเปิดหูเปิดตากันหน่อยหน่ะสิคะ มาถึงโคราชกันทั้งที!
วันนี้ครีมพาไปไหว้พระสะสมแต้มบุญกันก่อนเลยจ้า ที่ วัดบ้านไร่ หรือ วัดหลวงพ่อคูณ ตำบลกุดพิมาน อำเภอด่านขุนทด
มาไหว้พระ ทำบุญกันบ้าง สะสมแต้มบุญกันหน่อย มาเพิ่มขวัญกำลังใจให้เราสู้กันต่อไป
ภายในวัดมีสิ่งปลูกสร้างอยู่หลายอาคาร ได้แก่ พระอุโบสถ, พิพิธภัณฑ์หลวงพ่อคูณ, หอแก้ว, หอระฆัง, อาคารประชาสัมพันธ์, ศูนย์โอทอป (OTOP) และ วิหารเทพวิทยาคม ปริสุทธปัญญา เฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา (อาคารปริสุทธปัญญา)
หลังจากเข้ามาไหว้พระและสักการะหลวงพ่อคูณเรียบร้อยแล้ว
ก็ไปที่จุดไฮไลท์ของวัดนี้กันจ้า คือ
วิหารเทพวิทยาคม ปริสุทธปัญญา
เฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา (อาคารปริสุทธปัญญา) ที่นี่เป็นอุทยานธรรมกลางบึงน้ำขนาดใหญ่ ที่เห็นได้ชัดๆเลยคือ จะมีประติมากรรมรูปช้างสูงใหญ่มาก ยังไม่ทันเข้าวัดก็เห็นเศียรช้างก่อนแล้ว พอเดินเข้ามาก็จะเจอกับ “สะพานพญานาคราช” เป็นพญานาคราชใหญ่ มี 19 เศียร จำนวน 2 ตน รวม 38 เศียร แสดงถึง มงคล 38 ประการ สวยอลังงานการสร้างสุดๆ
พญานาค 7 เศียร
เมื่อประมาณ 10 กว่าปีมาแล้วมีคณะศิษย์จากประเทศลาวได้นำลูกแก้วพญานาคมาถวายหลวงพ่อคูณ หลวงพ่อคูณได้มายืนอยู่ริมบึง 30 ไร่ ณ ตรงนี้ แล้วกำกับให้ลูกศิษย์ (คุณไก่โต้ง สมบูรณ์ โสตถิอนันต์) ใช้หนังสติกยิงลูกแก้วพญานาคที่ได้มาไปในบึงในทิศทางที่ต่างกัน โดยเฉพาะบริเวณที่ตั้งวิหารเทพวิทยาคม ได้ยิงไปหลายสิบลูก รวมทั้งสิ้น 7 สี เกิดนิมิตพญานาคราชเจ็ดเศียรรักษาวิหารเทพวิทยาคม พระนาม “ท้าวสัตตะมณีรังสีนาคราช” ผู้ใดได้กราบไหว้บูชาจะเป็นผู้โชคดี มีความสุขความเจริญตลอดไป ปรารถนาสิ่งใดจะได้ตามประสงค์ทุกประการ บรรดาทุกข์ โศก โรคภัยหรือถูกกล่าวร้ายจะถูกปัดเป่าให้ผ่านพ้นมลายสูญสิ้นไป
วิหารเทพวิทยาคม ปริสุทธปัญญา ประกอบขึ้นด้วยโมเสกมากกว่า 20 ล้านชิ้น แถมที่นี่เป็นพุทธสถานในนิกายเถรวาทที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยเลย พอได้มาเห็นกับตาด้วยตัวเองแล้วก็นับว่าเป็นบุญตาจริงๆ
ภายในวิหารเทพวิทยาคม ปริสุทธปัญญา เป็นมหาวิหารแห่งพระไตรปิฎก เป็นดินแดนที่รวบรวมพุทธประวัติ พระวินัย และพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงไว้ทั้งหมด เพื่อจรรโลงพระศาสนาให้เป็นไปตามบัญญัติของพระพุทธองค์ ทั้งนี้ตามประติมากรรมต่างๆก็ได้แฝงปริศนาธรรมเอาไว้ให้เราได้ข้อคิดต่างๆอีกด้วย
มาดูประติมากรรมด้านนอกกันดีกว่า
พระอินทร์ (ซุ้มอภิมหาบารมี) ทิศตะวันออก
เป็นซุ้มประตูทางเข้าวิหาร ที่อยู่ใต้เศียรช้างเอราวัณขนาดใหญ่ หันหน้าไปทางทิศตะวันออก
ที่หน้าซุ้มมีเทวดาบริวาร 2 องค์ องค์ซ้ายชื่อว่า ปัญญาบารมี (ถือดอกบัว) องค์ขวาชื่อว่า เมตตาบารมี (ถือพระขันธ์) สื่อความหมายว่าผู้ดูแลซุ้มเป็นผู้มากด้วยปัญญาและเมตตาบารมี นอกจากนี้ ยังมีเทพผู้รักษาช้างเอราวัณประจำอยู่ที่ขาทั้ง 4 ทิศ ทั้ง 2 ข้าง รวมเป็น 8 องค์ เป็นศิลปะแบบคันธารราษฎร์ หมายถึง ศิลปะแบบอินเดียที่ได้รับอิทธิพลจากกรีก/โรมัน
พระยม (ซุ้มอภิมหาบารมี) ทิศใต้
ไว้เตือนสติให้ทุกคนที่ผ่านซุ้มนี้ลดละความไม่ดีทั้งหลาย จะต้องทนทุกข์ทรมานหลังความตาย โดยมีพระยมหรือพญายมราช เทพแห่งความยุติธรรมเป็นผู้พิจารณาตัดสินว่าผู้ที่สร้างบาปกรรมเช่นไรจะต้องได้รับโทษทัณฑ์ในนรกขุมไหน และใครที่ไม่ต้องลงนรก
ซุ้มนี้มีสุนัข 3 หัว มีกระบือขนาดใหญ่ 2 ตัวซึ่งเป็นสัตว์พาหนะของพระยมทำหน้าที่เฝ้าป้องกันไม่ให้มีมารร้ายหรือผู้ที่ยังชดใช้บาปกรรมไม่หมดผ่านเข้าไปในวิหารได้
พระพิรุณทร์ (ซุ้มอภิมหาบารมี) ทิศตะวันตก
คือเทพแห่งสายน้ำ อากาศ และความอุดมสมบูรณ์ ผู้บันดาลความชุ่มชื้นลงมาสู่โลกมนุษย์ เชื่อกันว่าพระองค์ทรงเป็นเทพเจ้าที่มีความการุณย์และความยุติธรรมมาก ท่านจะให้พรแก่มนุษย์ทุกคนที่ประพฤติตนอยู่ในขอบข่ายของศีลธรรม
ที่ซุ้มนี้จะได้เห็นประติมากรรมปูนปั้นประดับด้วยโมเสคสีโทนเย็นประดุจสายน้ำในมหาสมุทร โดยมีองค์พระพิรุณในอิริยาบถประทับนั่งโดยพระกรทั้ง 4 ทรงถือหยดน้ำทิพย์ ประทานความชุ่มช่ำ, บ่วงบาศ หมายถึง ความมั่นคงยุติธรรม, หอยสังข์ หมายถึง ความร่มเย็นเป็นสุข และพัดโบกขรณี หมายถึง อาวุธประจำกาย
โดยบริเวณหน้าซุ้มจะมีจระเข้ขนาดใหญ่ 2 ตัวซึ่งเป็นสัตว์พาหนะของพระพิรุณ รวมไปถึงนางเงือกและเทพโพไซดอนบริวารประจำเสาประตูซุ้มที่ได้รอต้อนรับที่จะเข้าไปสักการะเยี่ยมชมภายในวิหารเพื่อความร่มเย็นเป็นสุขในชีวิตและครอบครัว
พระกุเวร (ซุ้มอภิมหาบารมี) ทิศเหนือ
ซุ้มแห่งความมั่งคั่งร่ำรวยและโภคทรัพย์ ทางขึ้นด้านซ้ายของซุ้ม มียักษ์เพี้ยง บริวารของท่านท้าวกุเวรทำหน้าที่เฝ้าขุมทรัพย์อยู่ ไม่ยอมให้ผู้ใดฉกฉวยศฤงคารสมบัติไปได้โดยง่าย นอกเสียจากว่าผู้นั้นจะเป็นผู้ที่มีบุญบารมี มีศีลธรรมค้ำจุนและได้รับพรจากนายเหนือหัวของเขาซึ่งก็คือท้าวกุเวรเสียก่อน
โดยที่ข้างแท่นประทับมียักษ์บริวาร 2 ตน และม้าทรง 2 ตัว ซึ่งเป็นสัตว์พาหนะอยู่หน้าซุ้ม บนยอดช่อฟ้า
“ยักษ์เพี้ยง”
ปู่โสมเฝ้าทรัพย์แห่งซุ้มพระกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณ
ซุ้มหางพญานาคและแก้วสารพัดนึก
หางของพญานาคทั้ง 2 ตนได้โอบรัดกันเป็นเกลียว 3 เกลียวนั้นนอกจากจะผนึกกำลังกันยกวิหารให้พ้นจากบึงน้ำแห่งสังสารวัฏแล้ว ยังได้สื่อถึง ไตรสิกขา ซึ่งก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา อันเป็นสามัคคีธรรมที่จะทำให้ผู้ปฏิบัติตนประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายดังใจนึก เฉกเช่นแก้วสารพัดนึกที่ประดับอยู่บนยอดซุ้มนั่นเอง สามารถอธิษฐานขอพรจากแก้วสารพัดนึกได้
ทางลงจากสวรรค์ (สะพานอายตนะ)
หากเปรียบว่า วิหารเทพวิทยาคมคือสรวงสวรรค์ โลกแห่งธรรมะด้านหลังวิหารซึ่งมีสะพานทอดยาวไปถึงฝั่งตลิ่งทางทิศตะวันตกก็คงจะเปรียบเสมือนเส้นทางลงจากสวรรค์เมื่อท่านรู้สึกอิ่มเอมหลังจากที่ได้เดินเยี่ยมชมเติมบุญและรับพระธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ทางลงจากสรวงสวรรค์นี้จะมีเทวดาและนางฟ้า 6 องค์ มารออนุโมทนาบุญกุศลที่ท่านได้กระทำลงไปโทษทั้ง 6 องค์ เป็นสื่อความหมายถึงทั้งกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม โดยที่เทวดาและนางฟ้าทั้ง 6 องค์นี้จะแสดงกิริยาท่าทางในการใช้อายตนะที่แตกต่างกัน เพื่อคอยย้ำเตือนสติให้ท่านระแวดระวังภัยอันจะเกิดจาก อายตนะทั้ง 6 ประการ ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สื่อความหมายว่า เวลาที่เรากำลังจะทำอะไรสักอย่างหนึ่ง เราก็ควรที่จะมีสติรู้เท่าทันในสิ่งนั้นๆ ซึ่งก็เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาซึ่งล้วนแต่เป็นความจริงตามธรรมชาติ
หากเรารู้เท่าทันแล้ว เราก็จะไม่ตกเป็นเหยื่อของโลกและอบายภูมิเมื่อสิ้นลมหายใจก็จะได้ไป
สำหรับเทพชาย-หญิง ทั้ง 2 นั้น เป็นตัวแทนความหมายกายาของเทพ ซึ่งกายาทั้ง 2 ท่าน คือผู้ควบคุมเทพอายตนะทั้ง 6 ให้มีสติอยู่เสมอ
ห้องน้ำสุขมงคล-สิริมงคล
เราเยี่ยมชมศิลปะธรรมในบริเวณวิหารเทพวิทยาคมเสร็จแล้วผ่านเส้นทางอายตนะทั้ง 6 ด้วยความมีสติ สมาธิควบคุม อยู่ในทางสายกลาง สู่ห้องสุขา ชาย-หญิง เพื่อดูแลรักษาความสมดุล แห่งสังขาร อุปมาดั่งการเดินทางกลับสู่เรื่องทางโลก เรื่องความรัก ความสำเร็จ สิ่งที่เกิดมาคู่กัน ชาย-หญิง กลางวันและกลางคืน สมดุลภาพแห่งชีวิตที่เป็นสุข
สุขาหญิง / โม ธาตุน้ำ
“สิริมงคล” อุปมาดั่งมารดา (แม่) เทพทิวาผู้ให้กำเนิดแสงสว่างอันสดใส ดูแลรักษา ความเจริญเติบโต และความรัก ความปรารถนาดีอันงดงามแห่งชีวิต “กำเนิดแห่งดอกไม้พฤกษา”
สุขาชาย / นะ ธาตุดิน
“สุขมงคล” อุปมาดั่งบิดา (พ่อ) เทพแห่งราตรีผู้ให้จุติแห่งดวงดาวชีวิต ปกปักษ์รักษาให้ความอุดมสมบูรณ์ สมดุลภาพแห่งชีวิต“กำเนิดแห่งรูปผล พืชพันธุ์ ธัญญาหาร”
*วันที่ครีมไปเจ้าหน้าที่ยังไม่เปิดให้บริการให้เข้าไปในชั้นอื่นๆ แอบเสียใจมาก ครีมเลยหาข้อมูลมาให้เพื่อนๆไว้ก่อนน้า ส่วนใครที่ไปเที่ยวมาแล้วอย่าลืมเอารูปมาอวดกันบ้างหล่ะ*
หอเทพวิทยาคม เป็นอาคารสูง 5 ชั้น ตั้งอยู่กลางบึงน้ำ แต่ละชั้นประกอบไปด้วย
ชั้นใต้ดิน : เป็นส่วนจัดแสดงเหมือนโลกใต้บาดาล ผู้เข้าชมสามารถรับของที่ระลึกจากเงินทำบุญที่ได้บริจาคไป ซุ้มของที่ระลึก
ชั้นที่ 1 : จัดแสดงภาพพุทธประวัติและต้นโพธิ์อธิษฐาน มีความสวยงามในเชิงสัญญะ แต่ละภาพบอกเล่าถึงความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อพระพุทธศาสนา รวมถึงเรื่องราวต่างๆ ของพุทธประวัติ
ชั้นที่ 2 : จัดแสดงพระวินัยปิฎก นิทรรศการ พระราชาผู้ทรงธรรม และห้องโถงแห่งธรรม
ชั้นที่ 3 : จัดแสดงเรื่องราวของพระธรรมปิฎก พระธรรมขันธ์
ชั้นดาดฟ้า : จัดแสดงรูปปั้นหลวงพ่อคูณและสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
……………………………
ขอขอบคุณข้อมูลจากเพจ
Facebook : Wihanthepwitthayakom
ประวัติหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ
– เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ.2466 ตรงกับแรม 10 ค่ำ เดือน 10 ปีกุน ที่บ้านไร่ หมู่ 6 ตำบลกุดพิมาน อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา
– เกิดในครอบครัวของชาวไร่ชาวนา
– บิดาชื่อ นายบุญ ฉัตรพลกรัง
– มารดาชื่อ นางทองขาว ฉัตรพลกรัง
– มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 3 คน คือ 1.หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ 2.นางคำมั่น แจ้งแสงใส 3.นางทองหล่อ เพ็ญจันทร์
นางทองขาว (มารดา) เล่าให้เพื่อนบ้านฟังว่า ก่อนตั้งครรภ์กลางดึกของคืนวันหนึ่งเวลาประมาณตี 3 นางได้ฝันเห็นเทพองค์หนึ่ง มีกายเรืองแสงสวยงามลอยลงมาจากสวรรค์ มาที่บ้านของนางและได้กล่าวว่า เจ้าและสามีเป็นผู้มีศีลธรรม มีเมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งปวง ประกอบการงานอาชีพด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ทั้งยังสร้างความดีมาตลอดหลายชาติ เราขออำนวยพรให้เจ้าและครอบครัวมีแต่ความสุขสวัสดิ์ตลอดไป และเทพองค์นั้นยังได้มอบดวงแก้วใสสะอาดสุกสว่างให้แก่นางด้วย “ดวงมณีนี้เจ้าจงรับไปและรักษาให้ดี ต่อไปภายหน้าจะได้เป็นพระพุทธสาวกหน่อเนื้อพระชินวร เพื่อสืบพระพุทธศาสนา เป็นเนื้อนาบุญที่พึ่งของสัตว์โลกทั้งปวง”
หลวงพ่อคูณ ตั้งใจร่ำเรียนพระธรรมวินัย ตามรอยพระพุทธองค์ ที่ตรัสไว้ว่า… “เทว เม ภิกขเว วิชชา ภาคิยา” ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วิชานั้นมีอยู่ ๒ อย่าง คือ
1. สมถะ ความสงบระงับแห่งจิตที่ปราศจากกิเลสอาสวะทั้งปวง
2. วิปัสสนา ความเห็นแจ้งซึ่งธรรมเบื้องสูงอันสุขุมลุ่มลึก ในทางพุทธศาสนา และจงเดินตามหนทางนั้นเถิด
หลวงพ่อคูณ ได้อยู่ปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่อแดง มานานพอสมควร หลวงพ่อแดง จึงพาหลวงพ่อคูณ ไปฝากตัวเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อคง พุทธสโร ซึ่งหลวงพ่อทั้ง 2 รูปนี้ เป็นเพื่อนกันต่างให้ความเคารพซึ่งกันและกัน เมื่อมีโอกาสได้พบปะมักแลกเปลี่ยนธรรมะ ตลอดจนวิชาอาคมแก่กันเสมอ
หลวงพ่อคง พุทธฺสโร เป็นพระอาจารย์ผู้ทรงคุณทั้งทางธรรม และทางไสยเวทย์ และได้อบรมสั่งสอนให้แก่หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ ด้วยความรักใคร่มิได้ปิดบังอำพราง โดยการให้การศึกษาพระธรรม ควบคู่กับการปฏิบัติพระกัมมัฏฐาน เน้นเรื่องการมี “สติ” ระลึกรู้ พิจารณาอารมณ์ต่างๆ ที่มากระทบ และให้เกิดความรู้เท่าทันในอารมณ์นั้น เช่น เมื่อเกิดอารมณ์ “หลง” ท่านให้พิจารณาว่า
“อนิจจัง ไม่เที่ยง ทุกขัง เป็นความทุกข์ อนัตตา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของเขา สักแต่ว่าเป็นรูป เป็นนาม จึงมิใช่ของเรา และของเขา”
และท่านจึงให้แนวทางพิจารณา 5 ประการ คือ
พิจารณาว่า ความเกิดเป็นเรื่องธรรมดา หาล่วงความเกิดนี้ได้
พิจารณาว่า ความแก่เป็นเรื่องธรรมดา หาล่วงความแก่นี้ได้
พิจารณาว่า ความเจ็บเป็นเรื่องธรรมดา หาล่วงความเจ็บนี้ได้
พิจารณาว่า ความตายเป็นเรื่องธรรมดา หาล่วงความตายนี้ได้
พิจารณาว่า เรามีกรรมเป็นเรื่องธรรมดา เรามีกรรมเป็นของตนเอง เรากระทำความดี จักได้ดี เรากระทำความชั่ว จักได้ชั่ว”
สำหรับใครที่อยากมาเที่ยวทำบุญ ก็อย่าลืมแวะเวียนมาที่วัดบ้านไร่กันน้า ได้ทั้งไหว้พระ ทำบุญ มาช่วยเหลืออุดหนุนชาวบ้านที่อยู่แถวนี้ด้วย กลับไปอิ่มบุญแน่นอนจ้า ไว้ถ้าครีมมีโอกาศไปอีก จะกลับมาอัพเดทอีกทีนะคะ
วิหารเทพวิทยาคม วัดบ้านไร่
(หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ)
Tel : 063 189 5136
Facebook : Wihanthepwitthayakom
เวลาเปิดบริการ : ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.30-17.00 น. ( วิหารเข้าชมฟรี )
* มีบริการรถเข็นฟรี สำหรับผู้สูงอายุ และ ผู้พิการ
* หากมาเป็นหมู่คณะ สามารถติดต่อขอผู้นำชม เพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ประชาสัมพันธ์นะคะ
ติดต่อคณะทัวร์ / คณะเยี่ยมชม : คุณภัทิรา (บุ๋ม), Tel : 081 203 7427, E-mail : pathira_0503@hotmail.com
พิกัด : วัดบ้านไร่ 111/90 หมู่ 6 ต. กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา ด่านขุนทด 30210