Vietnam รีวิว ฮานอย-ซาปา-ฮาลองเบย์

Northern Vietnam travel
Hanoi, Sa Pa, Halong Bay
รีวิวเที่ยวเวียดนามตอนเหนือ ฮานอย-ซาปา-ฮาลองเบย์

ถ้าพูดถึงเวียดนามแล้ว หลายคนคงนึกถึง มอเตอร์ไซค์ อย่างแรกเลยใช่ไหมละ ฮ่าๆ เพราะที่เวียดนามมอเตอร์ไซค์เยอะมากกกกกก บีบแตรลั่นกันเป็นว่าเล่นเลย แค่นึกก็เพลียแล้วเอาจริง

ถึงเมืองจะวุ่นวาย มอเตอร์ไซค์เยอะขนาดไหน เราก็ไม่หวั่นจ้า เพราะเราตั้งใจมา Backpack กัน 6 วัน 5 คืน ครีมติดธุระเลยต้องจองตั๋วเครื่องบินไฟล์ทเย็น เลยถึงที่นู่นดึก พอไปถึงเราก็เข้าที่พักแล้วนอนเลย แนะนำว่าถ้าจะจองให้จองไฟลท์เช้านะ จะได้ไปเที่ยวคุ้มๆกัน อ้อ ค่าเงินตอนที่ครีมไป อยู่ที่ 0.00136 (คิดง่ายๆก็ 100,000 ดอง = 136บาท)

ในทริปนี้ครีมมา 6 วัน 5 คืน ขอบอกก่อนเลยว่าเราไม่เน้นประหยัด เราเน้นตามใจตัวเองกันเป็นหลักน้า เอาล่ะ ไปลุยกัน!

ไฟลท์นี้บินจากดอนเมืองไปลงที่ฮานอย สนามบิน Noi bai International Airport พอออกมาแล้วก็ซื้อซิมที่สนามบินเลย จะได้ใช้ดูทางใน Googla map ได้ (ค่าซิม 200,000 ดอง /  272 บาท) แต่แนะนำว่าถ้าไปกันหลายคนให้ซื้อแค่คนเดียวก่อน แล้วค่อยไปซื้อซิมข้างนอกเอาเพราะถูกกว่าเยอะมากกกก (150,000 ดอง / 204 บาท แต่ได้สปีดที่เร็วกว่าด้วย) อ่ะ ไปดูรีวิว Northern Vietnam travel กันเลย

DAY 1

วันนี้นอนเฉยๆ มาถึงดึก พรุ่งนี้ว่ากันใหม่
เดินทางไปที่พักของคืนนี้กันจ้า คืนนี้ครีมนอนในย่าน Old Quarter การเดินทางจากสนามบินไปย่าน Old Quarter ให้เรานั่งรถเมล์สาย 86 เราเดินออกมาจากสนามบินให้สังเกตรถเมล์จะอยู่ฝั่งตรงข้ามเรา ตรงเสาหมายเลขที่ 4-6 (ค่ารถเมล์ 35,000 ดอง / 48 บาท) พอขึ้นแล้วก็บอกเขาเลยว่าไปลง Old Quarter ถึงแล้วเขาก็จะบอกเอง พอลงรถเมล์ครีมเดินต่อไปอีกประมาณ 30 นาทีแหนะ เหนื่อยมากกก แง คือถ้ามากันหลายคนก็ขึ้นแท็กซี่เลยจ้า แนะนำว่าให้ต่อเขาเยอะๆเลย ถ้าไปใกล้ๆ ถ้าเขาถามว่าจะให้คิดแบบเหมาหรือคิดแบบมิเตอร์ ก็แนะนำว่าให้คิดแบบมิเตอร์ เพราะจะถูกกว่า
คืนนี้เรานอนที่ Icon 36 ในย่าน Old Quarter 1 คืน (ราคา 596 บาท) อันนี้ครีมจองผ่าน Agoda มาก่อนแล้วค่ะ ถ้าให้คะแนนเต็ม 10 เราให้ 6 ละกัน ที่นี่ดีตรงมีอาหารเช้าเป็นบุฟเฟ่ต์ให้ แต่ว่าห้องและของใช้ค่อนข้างเก่า พนักงานสื่อสารยังไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่โดยรวมก็โอเค เพราะเราเอาไว้แค่นอนและเก็บของอย่างเดียว ได้แค่นี้ก็บุญละจ้า

DAY 2

วันนี้เราต้องรีบตื่นกัน เพราะว่าเราจะนั่งรถไปที่ซาปากันเลยจ้า ครีมจองรถ Fansipan Express ผ่านเว็บ BookAway.com (ค่ารถไปกลับ ประมาณ 600 กว่าๆ) รถออกเวลา 6 โมงเช้า ถึงประมาณ 12.30 แต่พอไปจริงๆต้องนั่งรอรถประมาณชั่วโมงกว่าได้ โคตรลุ้นเลยว่าจะตกรถไหม รอไปรอมา สรุปไม่ตกจ้า นัดเรา 6 โมง แต่ออฟฟิศมาเปิด 6.30 จ้า คนที่มานั่งรอก็นั่งมองหน้ากันปริบๆเลยว่ารถจะมารึเปล่า งืออออออ

หลังจากรับทุกคนขึ้นรถแล้วก็เดินทางไปซาปากัน รถที่ครีมจองจะเป็นรถนอนแบบธรรมดา ครีมจะบอกว่าในความโชคร้ายนั้นก็ยังมีความโชคดี เพราะว่าจู่ๆเราได้อัพเกรดรถเป็นรถ VIP เฉยเลยจ้า รถคันนี้เป็นรถนอนแบบเป็นตู้แยก มีชั้นบน และชั้นล่าง มีที่ชาร์จแบต มีหมอน มีผ้าห่มให้ คือเลิศมากกก แล้วคือที่นอนค่อนข้างกว้าง นอนได้สบายมาก ไม่รู้สึกอึดอัดเลย แต่เสียดายหมอนแบนไปนิด นอนไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ (ได้อัพแล้วยังจะบ่นอีกนะ) ออ ก่อนขึ้นรถทุกคนต้องถอดรองเท้าใส่ถุงดำนะคะ ป้องกันกลิ่น ใครเท้าเหม็นระวังกันด้วย 55555
*จริงๆที่ไม่ขึ้นรถไฟเพราะว่า ถ้าขึ้นรถไฟมันต้องต่อรถตู้มาอีก 1 ชั่วโมง และด้วยความขี้เกียจของครีม ครีมก็เลยเลือกที่จะขึ้นรถมาทีเดียวเลยดีกว่าแบบต่อเดียวแล้วถึงเลย

ซาปาจะอยู่ตอนเหนือของประเทศเวียดนาม ในจังหวัดหล่าวกาย ที่นี่มีอากาศหนาวเย็นอยู่ตลอดทั้งปี และมีจุดเด่นคือมีการทำนาขั้นบันได เดิมทีซาปาเป็นเมืองตากอากาศของเจ้านายชั้นสูงชาวฝรั่งเศสที่มาทำงานในเวียดนาม จึงมีสถาปัตยกรรมอาคารบ้านเรือนและการวางผังเมืองแบบฝรั่งเศส

แล้วเราก็มาถึงซาปาแล้วววจ้า เย้! รถมาถึงนี้ประมาณเที่ยงกว่าๆ หลังจากลงรถก็สัมผัสได้ถึงความเย็นทันทีทันใด พอถึงซาปาแล้ว ครีมเดินไปที่พักซึ่งอยู่ใกล้ๆจุดลงรถเลย เดินแค่ 5 นาที ขากลับเราจะได้ชิวๆ ไม่ต้องรีบมาก

ครีมมาพักที่โรงแรม Gem Sapa 2 คืน (คืนละประมาณ 800 บาท) จริงๆตอนแรกจองห้องไปแบบไม่มีวิว แต่เหมือนเรามาช่วงที่คนน้อย เขาเลยอัพห้องให้เป็นห้องติดวิวให้ฟรี โอโหวววคืออยากจะกรี๊ดดบ้านแตก ดีใจมากๆ

หลังจากพัก อาบน้ำ เปลี่ยนชุด เราก็พร้อมลุยแล้ววว การเดินทางในทริปนี้ เราจะเช่ามอเตอไซค์แว๊นกันค่ะ อันนี้ครีมเช่าที่โรงแรมเลยเพราะขี้เกียจไปหา ราคาเต็มวัน (150,000 ดอง / 204 บาท) ถ้าครึ่งวัน (80,000 ดอง / 108 บาท) ราคานี้ไม่รวมค่าน้ำมัน ส่วนน้ำมันไปเติมที่ปั๊มเองได้เลยจะถูกกว่าให้ที่โรงแรมเติม ไปเติมมาที่ปั๊มประมาณ (30,000-50,000 ดอง / 40-68 บาท) แค่นี้ก็เหลือเฟือค่ะ ขับได้ทั่วแล้ว

ป่ะ ไปแว๊นกันเถอะ! ที่แรกที่ไป คือ
Sapa Lake (ทะเลสาบซาปา)
เป็นทะเลสาบซาปาที่สวยมากกกกกก นึกว่าอยู่สวิสเซอแลนด์ จุดนี้จะบอกว่าต้องไม่พลาด ถ่ายรูปกันรัวๆ ฟีลแบบเหมือนอยู่ยุโรปมากเว่อร์

Notre Dame Cathedral (Stone Church)
แว่บมาถ่ายรูปกันแปปนึง นี่คือโบสถ์หินที่สร้างโดยชาวฝรั่งเศส สวยมาก
พอหันไปด้านหลังก็จะเป็นลานกิจกรรม ทั้งเด็กทั้งวัยรุ่นจะชอบมานั่งเล่น ทำกิจกรรมกันตรงนี้ ส่วนวันที่ครีมไปเหมือนเขามีงานโรงเรียน เลยเจอเด็กๆเยอะมากกกกก น่ารัก หน้าตาจิ้มลิ้มมาก

หลังจากเราลงไปเซอเวย์กันสักพัก เราก็ขี่รถไป Silver Waterfall (น้ำตกสีเงิน) จะบอกว่าวิวข้างทางคือดีมากกกก  จอดรถแวะข้างทางถ่ายรูปตลอด ขึ้นๆลงๆจนเหนื่อยเลย ฮ่าๆ






แล้วก็มาถึงแล้วกับน้ำตก Silver Waterfall คือตอนแรกที่หาข้อมูลน้ำตก เขาบอกว่าน้ำตกนี้เป็นน้ำตกที่สวยที่สุดในซาปา แต่พอไปถึงจริงๆ แล้วสำหรับครีมรู้สึกเฉยๆมาก เลยตัดสินใจกันว่าเราจะไม่ขึ้นไป 555555 (รู้สึกว่าจะเสียค่าเข้าด้วย แต่จำไม่ได้ว่าเท่าไหร่)

เราก็เลยไปขี่รถเล่นกันต่อดีกว่า จะบอกว่าลมเย็นมากกก ตัวสั่นเลย สนุกมากกกจริงๆ ถ้าถามว่าทางที่นี่ขับยากไหม ก็บอกเลยว่าไม่ยาก สำหรับใครที่อยากเช่ามอเตอร์ไซค์ขี่ก็ไม่ต้องกลัว เพราะเมืองซาปาเป็นเมืองเล็กๆ ขี่วนๆแปปเดียวก็จำเส้นทางได้แล้ว แต่ปัญหาคือ ที่นี่เขาขี่รถกันโหดมากกก คือมีทั้งขับย้อนศร ขับบนทางถนนทางเดิน คนเดินผ่านก็ไม่หลบให้ด้วยจ้า เราจะต้องเป็นคนหลบรถเอง แถมไม่เปิดไฟเลี้ยว คือแค่นิดๆหน่อยๆก็บีบแตรแล้ว โอ้ยยย! มันจะทำให้หัวร้อนมากกบอกเลย ยิ่งรถบรรทุกบีบแตรใกล้ๆเรานะ โอโหวววแม่จ๋าหัวใจจะวาย 555 ยังไงก็ระมัดระวังกันด้วยนะคะ

หลังจากนั้นก็ขี่รถลงไปในเมืองซาปา ลงมาถึงก็ค่อนข้างเย็นแล้ว อากาศเย็นๆแบบนี้ก็ต้องกินอะไรร้อนๆกันหน่อย วันนี้เลยเห็นร้าน Hotpot ใกล้ๆกับโรงแรม เลยจัดซะหน่อย ชื่อร้าน “Hotpot Center” พนักงานที่นี่มีคนเดียวที่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ ทำให้ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีกว่าจะได้สั่ง 5555 ครีมกับพี่นิทสั่งเป็นซุปหมาล่า ในเซ็ตก็จะมีไก่ เส้นมาม่า และผักที่ให้มาโคตรรรรรเยอะเลยจ้า คือพอวางปุ๊บนี่มองหน้ากันเลยว่า ยังไงก็ไม่หมดแน่ๆ เซ็ตนี้สามารถนั่งกินกันได้ 3-4 คนเลยแหละ

เขาให้เนื้อไก่มาแบบติดกระดูก แล้วครีมเป็นคนที่แทะไม่เก่ง ก็เลยกินแต่เส้นมาม่า จริงๆอิ่มก็เพราะเส้นเนี่ยยหล่ะจ่ะ! ส่วนน้ำซุปและน้ำจิ้มถือว่าอร่อยเลยแหละ อ้อ! และเท่าที่ครีมสังเกตนะ เหมือนคนเวียดนามเขาไม่ค่อยมีเนื้อหมู ไม่รู้ทำไม แต่คือถามว่ามีหมูไหม เขาบอกว่ามี แต่เป็นเครื่องในหมู ซึ่งเวลาไปเดินตลาดของเขาส่วนใหญ่จะมีเป็นเนื้อไก่ เนื้อวัว อะไรแบบนี้มากกว่า เซ็ตนี้โดนไป (400,000 ดอง / 544 บาท) จ้า

หลังจากกินอิ่ม หนังตาเริ่มหย่อน ครีมเลยเดินเล่นชมวิวในเมืองซาปาตอนกลางคืนกันดีกว่าบรรกาศตอนกลางวันและบรรยากาศตอนกลางคืนมีความสวยกันคนละแบบ ให้ฟีลลิ่งที่แตกต่างกัน ตอนกลางคืนก็จะดูอบอุ่นขึ้นมาทันที ดูโรแมนติกมาก

ภาพนี้ไม่ใช่แสงเหนือนะทุกคน มันคือแสงไฟสีเขียวตัดกับหมอกเฉยๆ 5555 แต่ถ่ายออกมาแล้วดูสวยขึ้นมาทันทีเลย

Day 3

ตื่นเช้ามาชมวิวจากในห้องนอน ทุกที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหมดเลย งงมากก เกิดมายังไม่เคยเจอหมอกเยอะขนาดนี้ แต่ก็สวยไปอีกแบบดี
หลังจากกินข้าวเช้า เตรียมพร้อม เราก็ออกไปถ่ายรูปเก็บภาพ ที่ทะเลสาปกันอีกครั้ง เพราะว่าเช้านี้ทะเลสาปก็ถูกคลุมไปด้วยหมอกเช่นกัน ดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบ





หลังจากเดินถ่ายรูปเล่นแล้ว วันนี้เราจะไปที่ Sun world Fansipan legend กันค่ะ ยอดเขาฟานซิปานเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในเวียดนาม แล้วก็เป็นเทือกเขาเดียวกันกับเทือกเขาหิมาลัยของประเทศจีนด้วย ได้รับฉายาว่าเป็นหลังคาแห่งอินโดจีน  จริงๆมีนักท่องเที่ยวมาเดิน Trekking กันเยอะอยู่น้า แต่สำหรับครีมพักก่อนจ้า เราขึ้น cable car กันดีกว่า การเดินทางก็มาง๊ายยยง่าย ครีมกับพี่นิทไปจอดมอเตอไซค์แถวๆลานจอดที่ลานกิจกรรมเมื่อวานเลย แถว Stone Church แล้วก็เดินเข้าไปตึก Sun World เพื่อไปซื้อตั๋ว Cable car กันจ้า ครีมมาถึงประมาณ 8 โมง ค่าตั๋วขึ้นกระเช้า (คนละ 750,000 ดอง / 1,020 บาท) หลังจากซื้อบัตรเรียบร้อยแล้ว เราก็เดินตรงไปตามทางที่ป้ายบอกเลย จุดแรกเราจะขึ้นรถไฟเพื่อขึ้นไปจุดที่จะขึ้นฟานซิปานกันจ้า
พอถึงแล้วก็เดินไปที่ป้าย Cable car กันต่อเลย

รอคิวอยู่สักพักก็ได้ขึ้นแล้ว จะบอกว่าได้นั่งกับทัวร์จีน โดนมนุษย์ป้าแซงคิวอีกด้วย หึๆ! วันนี้หมอกลงเยอะมากกกๆ มองอะไรแทบไม่เห็นเลย เราก็นั่ง Cable car ประมาณ 10-15 นาที ก็ถึงจุดที่เราจะเดินขึ้นไปยอดเขาฟานซิปานแล้ว

พอถึงแล้วเราก็จะเดินขึ้นไปอีกประมาณ 60 ขั้น ไปถึงนี่ถึงกับตัวสั่นเลย เพราะลมแรงมาก ตอนที่ครีมไปประมาณ 9 องศา แต่เย็นเพราะลมแรงเนี่ยละ 5555

ถึงตอนนี้แล้วก็จะมี 2 ทางให้เลือก คือ จะเดินขึ้นไป 600 ขั้น หรือจะนั่งรถรางขึ้นไป (เสียตังเพิ่ม) อย่างเราอะหรอ ขึ้นรถรางสิครับรอไร! 55555 ค่าขึ้นรถรางไปยอดเขาฟานซิปาน คนละ (150,000 ดอง / 204 บาท)
จริงๆขึ้นรถรางไป ประมาณ 5 นาทีก็ถึงยอดเขาแล้ว เร็วมากก เราแค่เดินบันไดต่อขึ้นไปอีกนิดก็ถึงจุดสูงสุดแล้ววว รวดเร็วทันใจมาก ยังไม่ทันได้พักหายใจเลย อ่ะ ไม่รอช้า ไปถ่ายรูปเก็บไว้เป็นความทรงจำว่าเราได้มาถึงยอดสูงสุดของฟานซิปานแล้ว ที่นี่สูงถึง 3,143 เมตรเลยทีเดียว

หลังจากถ่ายรูปเรียบร้อย ครีมเลยตัดสินใจกันว่าจะเดินลงไป 600 ขั้น เพื่อไปไหว้พระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่อยู่ด้านล่างกัน
หลังจากพักทำใจอยู่นาน อ่ะไปก็ได้ 555555

ระหว่างทางลงไปก็จะมีวัด แล้วก็พระพุทธรูป

ลงไปอีกก็จะเจอพระแม่กวนอิมองค์ใหญ่ถูกปกคลุมไปด้วยหมอก งดงามมากกก ก็เลยลงไปไหว้กัน


เดินลงมาตามทางเรื่อยๆจะมีต้นไม้แปลกๆต้นนี้ขึ้นตลอดทาง สวยนะ คล้ายๆพวกกุหลาบหิน ใครพอรู้บ้างว่าต้นอะไร?

เราเจอแล้ว พระพุธรูปองค์ใหญ่ รูปปั้นพระพุทธเจ้าตอนกำลังบำเพ็ญเพียร

เอาเป็นว่าประมาณนี้ ใครไม่ได้มาตรงนี้ถือว่าพลาดมากกจริงๆ ได้ทั้งไหว้พระ และมาสัมผัสอากาศก็เย็นๆ มันฟินมากก ครีมเดินลงมาไม่เหนื่อยเลย แต่ถ้าขึ้นนี่ก็น่าจะหอบเอาเรื่องนะ ฮ่าๆ พอลงมาเราก็กลับไปยังจุดเดิมเลยจ้า คือการนั่ง Cable car และ รถไฟกลับไปจุดแรก

ลงมาก็ท้องร้องแล้วจ้า ไปกินข้าวเที่ยงกันเถอะ เดี๋ยวจะโมโหหิวซะก่อน 55555 ครีมมากินที่ร้านนี้ ซึ่งไม่รู้ว่าชื่ออะไร อ่านไม่ออก (ร้านเลยลานกิจกรรมมานิดนึง)
ครีมสั่งเฝอ ส่วนพี่นิทสั่งข้าวผัด จะบอกว่าเฝอร้านนี้อร่อยย สะอาด ส่วนข้าวผัดพี่นิดบอกว่าเหมือนข้าวผัดบ้านเราเลย แต่ของบ้านเค้าข้าวมันจะแข็งๆเค็มๆ 5555 พอกินเสร็จเราก็เดินทางไปที่หมู่บ้านกั๊ตกั๊ต (Cat Cat Village) ทางขี่ขึ้นไปค่อนข้างชัน แถมถนนแคบด้วย ทำให้ต้องระมัดระวังในการขี่มากๆ แล้ววันนี้ดั๊นนนฝนตกปรอยๆ แถมหมอกลงเยอะมาก มองไม่เห็นวิวอะไรเลย พอขึ้นไปถึงก็เลยคุยกันว่า วันนี้คงไม่เข้าไปแล้ว เพราะคงไม่คุ้มกับค่าเข้าแน่ๆ อ่า แผนนนล่มแล้ว!

เราก็เลยขี่รถลงไปนั่งเล่นในคาเฟ่กันดีกว่า ที่นี่คาเฟ่ Cong Cafe อ่านว่าเกี๋ยงรึเปล่าไม่แน่ใจนะ คาเฟ่นี้เป็นแนวทหารเวียดนาม มีความเป็นคอมมิวนิสต์ ทั้งการตกแต่งร้าน เสื้อผ้าของพนักงาน

เมนูแนะนำของที่นี่ เป็นกาแฟมะพร้าว ก็เลยตัดสินใจสั่งเลย ตอนสั่งก็ลืมไปเลยว่าอากาศมันเย็นอยู่แล้ว ก็ยังจะสั่งของเย็นอีก ไอ้เราก็กินไปก็สั่นไป แต่คือกาแฟมะพร้าวหอมมาก อร่อยลงตัวสุดๆไปเลย แก้วนี้โดนไป (59,000 ดอง / 80 บาท )
ร้านนี้คนเข้าเยอะมากกกก มีทั้งต่างชาติและวัยรุ่นเวียดนามเลย แต่จะบอกข้อเสียของที่นี่คือ สามารถนั่งสูบบุหรี่ได้ทั้งในร้านและนอกร้านเลย ไอ้เรานี่ กาแฟอุตส่าอร่อย บรรยากาศก็ดี แต่กลิ่นบุหรี่นี่ไม่โออย่างแรงค่ะ ตอนไปนั่งหน้าร้าน มีวัยรุ่นมานั่งสูบบุหรี่กันประมาณ 8 คน เหมือนโดนรมควัณ แสบหูแสบตากันไปค่ะ ใครไม่สูบบุหรี่ แนะนำว่าอย่ามาเลยค่ะ 555  ครีมรีบกินรีบหนีกลับห้องพักกันด่วนๆ
จากนั้นนก็นอนนนนหลับยาวๆ ตื่นมาอีกทีเราก็ไปกิน Hotpot ที่เดิมอีกแล้ว เพราะอากาศวันนี้เย็นกว่าเมื่อวานอีก หมอกลงทั้งวันทั้งคืน แง (แกทำให้ชั้นแผนล่ม!) มาวันนี้เปลี่ยนจากเนื้อไก่ เป็นแซลมอนแทนละ เพราะขี้เกียจแทะจ้า ค่าเสียหายเท่าเดิมเลย (400,000 ดอง / 544 บาท)

DAY 4

เช้าแล้วยังอยู่บนที่นอน เงียบเงียบคนเดียวและไม่อยากตื่นขึ้นพบใคร………. เอ้ยยย เดี๋ยว ไม่ได้ๆ! ตื่นมาอย่างแรก คือ ต้องเปิดผ้าม่านเช็คว่าวันนี้หมอกยังเยอะอยู่ไหม เพราะนี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว เปิดมา ผ่ามมม! ไม่ได้ต่างจากเมื่อวานเลยยยจ่ะ ก็เลยตัดสินใจว่า เราจะเสี่ยงดวงไปที่ Cat Cat village (หมู่บ้านกั๊ต กั๊ต)  กันสักครั้งแล้วกัน เพราะวันนี้เราจะต้องนั่งรถกลับไปฮานอยแล้ว อะไม่รอช้ารีบไปเดี๋ยวจะตกรถ ตอนขี่รถไปขึ้นไปหมอกก็ยังคงเยอะอยู่เช่นเคย พอถึงปุ๊บก็สามารถจอดมอไซค์ที่ร้านเช่าชุดได้
คือถ้าเช่าชุดจะสามารถจอดรถฟรี แต่ถ้าไม่เช่าจะเสียค่าจอด (10,000 ดอง / 13 บาท) เราก็เลยเช่าชุดจ้า ในราคา (50,000 ดอง / 68 บาท) เข้าไปในร้าน มีชุดให้เลือกเพียบบบบ เลือกกันไม่ถูกเลยทีเดียว ส่วนค่าเข้าหมู่บ้านกั๊ต กั๊ต (70,000 ดอง / 95 บาท)
พอเข้าไปในหมู่บ้านปุ๊บ เหมือนพระเจ้าเห็นใจ ฟ้าเปิดเฉยเลย ถือว่าโชคดีมากกก นี่ๆ Creamii Waffle เวอร์ชั่นม้งดำ
(นี่เค้าแมวเวียดนามเอง)
ที่นี่เป็นหมู่บ้านของเผ่าม้งดำ สามารถเห็นวิวขั้นบันไดได้แบบพาโนรามาเลย คนที่นี่เขาจะทำการเกษตรกัน ทั้งปลูกพืช ปลูกผักและเลี้ยงสัตว์

เข้าไปก็จะเจอกับจุดถ่ายรูปเช็คอินของสาวๆ มีมุมถ่ายรูปให้เพียบ รอต่อคิวกันไปจ่ะ แนะนำว่าถ้ามาหารองเท้าเก่าๆมาใส่ที่นี่ก็ดีน้า เพราะว่าดินค่อนข้างแฉะ รองเท้าคือเละเลย ครีมอุส่าเตรียมมาแล้ว แต่ดันลืมไว้ที่โรงแรม






พอเดินเข้ามาในหมู่บ้านเรื่อยๆก็จะเจอกับสะพานแดง หลังจากเจอสะพานแดงถ้าตรงเข้าไปคนจะน้อยมาก เพราะส่วนใหญ่คนจะไปกระจุกกันอยู่ตรงที่ถ่ายรูป เราเลยได้ชมวิวและถ่ายรูปแถวนี้กัน

ถ่ายรูปเพลินจนลืมดูเวลาเลยทุกคน ครีมมัวแต่ไปเสียเวลากับจุดสองจุดแรก รอต่อคิวถ่ายรูปนานเลย ตอนเดินกลับพึ่งจะเจอป้ายน้ำตกของหมู่บ้านกั๊ตกั๊ต เลยเดินลงไปดูแค่แป๊ปปเดียว จะบอกว่าแค่ถ่ายมาจากไกลๆก็สวยมากแล้ว เสียดายมาก
ภายในรู้สึกจะมีน้ำตกที่สวยมากกๆ แล้วก็จะมีการแสดงโชว์ของชาวเผ่าม้งอีกด้วย ซึ่งเราไม่ได้เข้าไป งือออ เสียใจมากก แต่ตอนนี้ต้องกลับก่อนแล้ว

รถออกจากซาปา ประมาณบ่าย 3 กว่าๆ ถึงฮานอยประมาณ 20.30 รอบนี้ได้นั่งรถแบบที่เราจองมา คือแบบรถนอนธรรมดา
ตอนมาดันได้นอนแบบ VIP พอเอามาเทียบกันแล้ว มันคนละชั้นจริงๆ 55555 อันนี้คือที่นอนแคบมาก วางของแทบไม่ได้เลย คนตัวสูงกว่าครีมก็อาจจะลำบากหน่อย จะบอกว่าคนขับคนนี่ซิ่งมากกก แซงรถบรรทุกแถมค่อมเลนมาตลอดการเดินทาง อยู่บนรถได้แต่ภาวนาว่าขอให้ลูกถึงอย่างปลอดภัยด้วยเถิดจ้าแม่จ๋า 5555

และแล้วก็ถึงฮานอยประมาณ 2 ทุ่มครึ่ง ครีมเลือกนอนที่โรงแรมเดิม ที่ Icon 36 Hotel ต่อทั้ง 2 คืนเลย

DAY 5

Northern Vietnam travel วันนี้เราจะไปเที่ยวล่องเรือที่ Halong Bay (ฮาลองเบย์) กันค่ะ

ฮาลองเบย์ เป็นอ่าวทางตอนเหนือของเวียดนาม อ่าวฮาลองเบย์จะประกอบไปด้วยน้ำทะเลและหมู่เกาะหินปูนที่มากถึง 1,900 เกาะ ในถ้ำก็จะมีหินงอกหินย้อยที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติ แถมที่นี่ยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ โดยองค์การยูเนสโก้ เมื่อปีพ.ศ.2537 อีกด้วย
ทริปนี้ครีมจองผ่าน Klook เอาไว้ตั้งแต่กรุงเทพแล้วน้า ราคา 1,074 บาท พอจองแล้วเขาจะออกตั๋วมาให้ทางเมล ก็เซฟเก็บไว้เลย ก่อนวันเดินทาง 1-2 วัน จะมีคนส่งอีเมลมาคอนเฟิร์มเราอีกที อย่าลืมเช็คกันด้วยน้า

ตอนประมาณ 7 โมงเช้า มีรถบัสคันเล็กมารับเราที่หน้าโรงแรมเลย (รถอาจจะเลทหน่อย ก็อย่าพึ่งตกใจไป เพราะเขาต้องรับลูกค้าหลายคน) การเดินทางไปฮาลองเบย์จะต้องนั่งรถอีก 3 ชั่วโมง เตรียมตัวขึ้นไปนอนบนรถได้เลยจ้า รถบัสจะจอดพักรถให้ 1 ครั้ง สำหรับการเข้าห้องน้ำ และหาอะไรรองท้อง

พอถึงแล้วก็ตามหัวหน้าทัวร์ไปเที่ยวกันจ้า อันนี้คือหน้าตาเรือที่เราจะได้นั่งกัน

พอขึ้นไปเขาก็เสริฟอาหารกลางวันให้ทันที (อ้อ! ลืมบอกว่าที่นี่ไม่ให้นำถุงและขวดน้ำพลาสติกเข้ามาน้า) วันนี้ครีมได้นั่งกับสาวเกาหลีด้วย น่ารักทุกคนเลย
ส่วนอาหารมีทั้งผัก อาหารซีฟู๊ด ให้มาประมาณ 5-6 อย่างต่อโต๊ะ ส่วนน้ำต้องซื้อเอง ราคาก็จะแรงกว่าปกติหน่อยนึง หลังจากกินข้าวแล้ว ก็รีบขึ้นไปชั้นสองไปดูวิวข้างบนกันดีกว่าจ้า




วิวแบบสวยมากกกกก เดี๋ยวจุดหน้าเราจะไปแวะถ้ำสวรรค์เพื่อดูหินงอกหินย้อยกันจ้า ในถ้ำมีห้องโถงใหญ่รอรับคนเดินทางอยู่ด้วยกัน 3 ห้อง ไกด์จะชี้ให้ดูเป็นจุดต่างๆว่าจุดแต่ละจุดเหมือนกับรูปช้าง แมงกระพรุน เห็ด ต่างๆนานาๆ

หลังจากชมถ้ำเสร็จแล้ว ไกด์ก็พาเราไปพายเรือกันต่อจ้า

ล่องเรือไปเรื่อยๆ ก็ถึงจุดที่พายเรือแล้ว จริงๆมีทั้งพายเรือคายัค (แบบพายเอง 2 คน) อีกแบบคือไปนั่งเรือที่ทำจากไม้ไผ่ (อันนี้มีคนพายให้) ตอนแรกว่าจะพายเรือคายัค แต่พี่นิทจะขึ้นบินโดรน ไอ้เราเลยอดจ้า ครีมเลยไปนั่งแบบมีคนพายให้ 55555 โดนทิ้งซะงั้น หึๆ

อันนี้เป็นบรรยากาศ คนพายของเราก็จะพาเราพายเข้าไปตรงปากถ้ำอยู่ 2 จุด อารมณ์แบบคล้ายภาคใต้บ้านเราเลย 55555 เอาเป็นว่าวันนี้จบทริปแล้ว ใช้เวลาอยู่แค่ประมาณ 3-4 ชั่วโมง เท่านั้นเอง แล้วเราก็นั่งรถกลับฮานอยอีก 3 ชั่วโมงกว่าจ้า ถึงฮานอยประมาณ 1-2 ทุ่ม ถ้าถามความประทับใจต่อทริปนี้เราให้ 7/10 เพราะครีมรู้สึกว่ามันไม่ได้อลังการเท่าที่คิด อาจจะคาดหวังเยอะไปนิดนึง แต่โดยรวมวิวก็สวยดี บริการไกด์ก็โอเคจ้า หลังจากถึงที่พักเราก็สลบกันยาวๆเลยจ้า หมดแรง

DAY 6

ไม่อยากจะเชื่อว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว เวลาเรามีความสุข เวลามักจะผ่านไปไวเสมอจริงไหม บอกตรงๆวันนี้ครีมไม่มีแพลนจะไปไหนเป็นพิเศษ เพราะเหมือนแค่แว่บมาฮานอยกันเฉยๆ แต่ก็แอบดูมาว่ามีที่ไหนน่าเที่ยวบ้าง ตอนเช้าเราเลยออกมาหาเช่ารถมอเตอร์ไซค์ขี่เที่ยวกันจ้า ร้านเช่ารถที่ฮานอยมีแต่ให้เช่าแบบเต็มวัน แบบครึ่งวันไม่มีน้า แอบเสียใจมาก เพราะเราใช้แค่ครึ่งวันเอง ราคา (150,000 ดอง / 204 บาท ไม่รวมน้ำมัน) ที่แรกที่ครีมมา คือ

Đền Quán Thánh (วิหารกวานแท่ญ)
วัดลัทธิเต๋า สร้างขึ้นเพื่อเป็นวิหารบูชาเทพเจ้าเตริ่นหวู่  เทพเจ้าประจำทิศเหนือ (ซึ่งเป็นหนึ่งในเทพเจ้าประจำทิศทั้งสี่ เพื่อให้เทพเจ้าคอยปกป้องคุ้มครองป้องกันภัยจากสิ่งชั่วร้ายทางทิศเหนือ) ที่นี่เป็นวัดแบบจีนขนาดใหญ่ ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 ถือว่าเป็นวัดศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่คู่เมืองฮานอยมานาน ค่าเข้าวัด (10,000 ดอง / 13 บาท)

ก่อนจะไปที่ต่อไป เราได้แวะข้างทางถ่ายรูปกันด้วย เจอทะเลสาบสวยมาก

Chùa Trấn Quốc (เจดีย์วัดเฉินก๊วก)
ตั้งอยู่ในทะเลสาบโฮไต ที่วัดนี้มีเจดีย์ 6 เหลี่ยมสีแดง สูง 15 เมตร ทั้งหมด 11 ชั้น รูปทรงสถาปัตยกรรมของเจดีย์นี้คล้ายกับเจดีย์ญี่ปุ่น ภายในเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางสมาธิสีขาวที่มีความสวยงาม นอกจากเจดีย์แล้วยังมีต้นศรีมหาโพธิ์ใหญ่ที่เป็นของขวัญจากกษัตริย์อินเดียสมัยก่อน และมีสุสานพระเถระชั้นผู้ใหญ่ในอดีตอีกด้วย




Bún chả Hương Liên OBAMA (บุ๋นฉา)
ท้องเริ่มร้องแล้วจ้า มื้อกลางวันนี้เราจะไปกินร้าน บุ๋นจ่า เป็นร้านชื่อดังในฮานอยเลยก็ว่าได้ เพราะร้านนี้มีอดีตประธานาธิบดี อย่าง บารัค โอบามา มาทานที่นี่แล้วชอบมาก วันนี้เลยมาตามรอย อยากจะรู้ว่าจะอร่อยขนาดไหน
ที่นี่เป็นตึกแถวเล็กๆ แต่จะบอกว่าคนเยอะมากกก ต่อคิวยาวกันมาถึงหน้าร้าน แต่รอไม่นาน เราก็ได้โต๊ะละ เข้ามาเราก็สั่งเซ็ทที่โอบาม่าสั่งเลยจ้า
ในเซ็ตมีหมูย่าง, Seafood Roll และเบียร์ฮานอย ส่วนเครื่องเคียงเป็นขนมจีนและผัก พอลองกินเท่านั้นหล่ะ หื้มม! อร่อยสมชื่อจริงๆ





รสชาติหมูอารมณ์เหมือนคอหมูย่างแต่มีน้ำซุป น้ำซุปจะออกรสหวานเปรี้ยว กลมกล่อมมาก ส่วน Seafood Roll ข้างในเป็นกุ้งตัวใหญ่มากก เหมือนปอเปี๊ยะ แล้วราคาถูกมากกกกก แบบ 10/10 ร้านสะอาด อาหารอร่อย มื้อนี้จ่ายไปแค่ (150,000 ดอง / 204 บาท) ไม่รวมVat

St. Joseph Cathedral (โบสถ์เซนต์โจเซฟ)
เเต่เดิมพื้นที่บริเวณนี้เคยเป็นที่ตั้งของเจดีย์บ่าวเทียน  ก่อนที่ฝรั่งเศสเมื่อเข้ามาปกครองเวียดนามเเล้วทำลายเจดีย์ทิ้ง สร้างโบสถ์เเห่งนี้ขึ้นมาเเทนที่ในสมัยศตวรรษที่ 19 โดยมีต้นแบบเป็นวิหารนอทเทอร์ดามในกรุงปารีส ทำให้มันเป็นโบสถ์คริสต์นี้มีอายุเก่าเเก่มากที่สุดของฮานอยก็ว่าได้
Hồ Hoàn Kiếm (ทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม)
หรือเรียกอีกชื่อว่าทะเลสาบคืนดาบ  เป็นทะเลสาบใจกลางกรุงฮานอย  จุดนี้เป็นจุดแหล่งรวมวัยรุ่น จนถึงสูงวัยเลยก็ว่าได้ มีทั้งมาทำกิจกรรม ออกกำลังกาย นั่งเล่น ชมทะเลสาบกันตรงนี้ สำหรับนักท่องเที่ยวนั้นทะเลสาบแห่งนี้ยังเป็นพื้นที่ศูนย์กลางของที่เที่ยวอีกหลายแห่ง ทั้งสะพานเทฮุก วัดหง็อกเซิน  และ หอคอยเต่า ที่สร้างขึ้นกลางทะเลสาบแห่งนี้ยังมีตำนานเล่าขานกันว่า อดีตพระเจ้าเลไทโตได้นำดาบวิเศษซึ่งนำมาต่อสู้กับพวกหมิง จนสามารถปลดปล่อยประเทศให้อิสระ พระองค์ทรงเรือไปกลางทะเลสาบเพื่อคืนดาบวิเศษให้กับเต่าศักดิ์สิทธิ์ และกล่าวกันว่าเต่าได้ขึ้นมาฉกดาบไปจักพระหัตถ์ของพระองค์ แล้วหายไปในทะเลสาบ

Cầu Thê Húc (สะพานเทฮุก)
อีกชื่อคือ สะพานพระอาทิตย์ จุดเด่นของทางเชื่อมนี้เป็นสีแดง ที่ใครมาฮานอยจะต้องมาถ่ายรูปที่นี่ ตรงนี้เป็นทางเชื่อมไปยังวัดหง็อกเซิน

Đền Ngọc Sơn (วัดหง็อกเซิน)
เป็นวัดที่มีสถาปัตยกรรมแบบจีน ตั้งอยู่ตรงจุดชมวิวทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม จึงทำให้วัดแห่งนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาของชาวฮานอย ที่นี่มีผู้คนเข้ามาสักการะมากที่สุด แถมที่วัดแห่งนี้มีเต่าและตะพาบน้ำที่โดนสต๊าฟไว้อยู่ด้วย ตัวใหญ่มากๆ ค่าเข้า (30,000 ดอง / 40 บาท)


เที่ยววัดกันพอละ เราไปเดินเล่นแถวทะเลสาปฮว่านเกี๋ยมกันดีกว่า ตรงนี้คือ Dong Kinh Nghia Thuc Square วัยรุ่น คู่รักเวียดนาม นักท่องเที่ยวต่างชาติ มาเดินเล่นที่นี่เยอะมาก อารมณ์แบบสยามบ้านเรา เป็นแหล่งที่เที่ยว ที่กิน ช้อปปิ้ง




มาหาที่นั่งพักกันเถอะ เที่ยวจนเหนื่อยแล้ว ครีมเลยแวะ High land coffee กันซะหน่อย จริงๆที่ร้านนี้กาแฟเขาดังมาก แต่ครีมไม่ได้สั่งจ้า สั่งเป็นชาเขียวแทน 5555 ทริปนี้จะอารมณ์ตามใจฉันกันหน่อยนะ นั่งดูวิวด้านบน คือ ชิลมากกก ลมเย็นๆ นั่งชมเมืองและดูผู้คนไปเพลินๆ

หลังจากเดินกำลังจะกลับแล้ว ก็ดันไปเจอไอติมอีก ขอจัดมาซะอันละกัน ได้มาเป็นรสชาเขียวอีกแล้ววว ฮ่าๆ

และเราก็นำมอเตอไซค์ไปคืน เพื่อเตรียมตัวไปขึ้นรถเมล์ไปสนามบินกลับบ้านกันจ้า ครีมมารอรถเมล์ตรงสถานีรถไฟ Ga Ha Noi น้า ครีมถ่ายตารางเดินรถมาเผื่อทุกคนด้วย

Northern Vietnam travel

เอาเป็นว่าทริปนี้ก็จบลงไปด้วยดี ถึงแม้ว่าการเดินทางของเราจะไม่ตรงตามแผนไปบ้าง แต่มันทำให้การเดินทางของเราสนุกและมีสีสันมากขึ้น เพราะทุกการเดินทางย่อมมีอุปสรรค มีทั้งตื่นเต้น ทั้งหลงทาง ไหนจะหัวร้อน แถมแพลนไม่เป็นไปตามอย่างที่เราคิดบ้าง 5555 เนี่ยแหละนะ ชีวิตก็เป็นแบบนี้เช่นกัน ขอแค่เรา Keep Going กันต่อไปจ้า ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันน้า 😀

Facebook Comments

Related posts

กาญจนบุรี (รีวิว) จุดเช็คอินห้ามพลาด

เกาะกูด / Koh kood Travel Guide

เขาช่องลม นครนายก